โอกาสของไทยในการส่งออก”อาหารสัตว์เลี้ยง”อินทรีย์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ. สนค.) เปิดเผยถึงโอกาสการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมว
โดยในปี 2564 ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมว อันดับที่ 3 ของโลก(สัดส่วน
ร้อยละ 9.7) รองจากเยอรมนี (สัดส่วนร้อยละ 12.6) และสหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 9.9)
ปี 2564 ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมวรวมมูลค่า 65,391 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.97 ตลาดส่งออกสำคัญของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 30.0) (2) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 14.7) (3) มาเลเซีย (ร้อยละ 7.1) (4) อิตาลี (ร้อยละ 6.7) และ (5) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 5.9) ตามลำดับ
การแพร่ระบาดของโควิด–19 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น รวมทั้ง ประชากรเป็นโสดมากขึ้น หรือคนที่มีคู่ก็เลือกที่จะมีลูกน้อยลง หรือไม่มีเลย และ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้มีความต้องการเลี้ยงสัตว์ เป็นเพื่อนคลายเหงา หรือแม้แต่การเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงจึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง เจ้าของสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน และส่วนประกอบมาจากธรรมชาติ จึงเป็นโอกาสของไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญของโลก ในการพัฒนาสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง รวมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงอินทรีย์ หากอัตราการเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 1 ของโลกในอนาคต
ไทยมีจุดเด่นด้านวัตถุดิบสำหรับใช้ผลิตอาหารสัตว์ที่หลากหลาย เช่น เนื้อสัตว์ (ปราศจากฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ) ผักและผลไม้ (ฟักทอง มะละกอ แครอท และคะน้า) รวมทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรไทย (ขิง ขมิ้น พริกไทยดำ โหระพา และสะระแหน่) อย่างไรก็ตาม การเลือกวัตถุดิบต้องศึกษาข้อมูลด้านสรรพคุณและปริมาณที่ใช้ให้เหมาะสมเพื่อความปลอดภัย ของสัตว์เลี้ยง เช่น ใบสะระแหน่ สามารถช่วยกำจัดกลิ่นปากของสุนัข แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไป อาจมีผลกระทบต่อตับหรือไต ผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย
ที่มา:สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ,กระทรวงพาณิชย์