นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยหลังลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการว่า ขณะนี้ สนค. อยู่ระหว่างดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของภาคธุรกิจไทย: กรณีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการสร้าง
ขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกเร่งพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันกลับสร้าง
ความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกประเทศหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก และมีการออกมาตรการต่าง ๆ จนกลายเป็นอุปสรรคและมีผลกีดกันทางการค้า อาทิ สหภาพยุโรปออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon border Adjustment Mechanism: CBAM)
ที่จะเริ่มใช้กับสินค้า 7 กลุ่ม คือ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน และสินค้าปลายน้ำ
บางรายการ (เช่น น็อตและสกรูทำจากเหล็ก) รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Indirect Emissions)
โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 กำหนดให้ผู้นำเข้าต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะบังคับใช้มาตรการเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569 ที่จะต้องซื้อใบรับรอง CBAM ขณะที่สหรัฐอเมริกามีการเสนอร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม โดยจะเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ส่งผลให้เกิดการปล่อยคาร์บอนในปริมาณสูง มีอุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ เชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ปุ๋ย ไฮโดรเจน กรดอะดิพิก ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม กระจก เยื่อกระดาษและกระดาษ และเอทานอล โดยกฎหมายของสหรัฐฯ จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2567

ผอ. สนค. กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ไทยจะรักษาความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกได้นั้น จำเป็นต้องเร่งผลักดันให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยตระหนักว่า “การพัฒนาที่มุ่งเน้นเพียงเรื่องผลกำไร โดยมองข้ามสิ่งแวดล้อมนั้น ไม่เพียงพอต่อการค้าและการแข่งขันในโลกปัจจุบัน” สนค. เล็งเห็นถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว จึงได้ดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของภาคธุรกิจไทย: กรณีการลด
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจะจัดทำเป็นรายงานสรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อให้หน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบาย รวมทั้งเป็นการให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการของประเทศคู่ค้าได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ในการจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะต้องมีการเก็บข้อมูลกิจกรรมการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้ก๊าซเรือนกระจก ซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทขนาดใหญ่จะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้น ผู้ประกอบการทุกระดับต้องหันมาให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสามารถเริ่มต้นง่าย ๆ ตั้งแต่การเก็บข้อมูลค่าน้ำ ค่าไฟ การใช้น้ำมัน และปริมาณวัตถุดิบ เป็นต้น เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาว่าขั้นตอนใดของกระบวนการผลิตที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างตรงจุดต่อไป
อย่างไรก็ตาม พบว่ายังมีปัญหาสำคัญในเรื่องการสร้างความตระหนักให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่อาจเห็นว่ายังเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งภาครัฐต้องสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการถึงประโยชน์ของการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เช่น ช่วยลดต้นทุนการทำธุรกิจในระยะยาว ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าและบริการ และในการทำธุรกิจการค้ากับประเทศพัฒนาแล้วจะต้องให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย