กระทรวงพลังงาน ชี้แจงประเด็นข้อสงสัยทั้งเรื่องค่าการตลาด ค่าการกลั่น ปริมาณสำรองไฟฟ้า รวมทั้ง
พร้อมติดตามสถานการณ์ด้านพลังงานที่ยังคงผันผวนทั่วโลกอย่างใกล้ชิด ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดตอบโจทย์เทรนด์โลก วอนพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายเพื่อความมั่นคงยั่งยืนระยะยาว
วันนี้ (20 มีนาคม 2566) ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุลเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์ด้านพลังงานยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
ในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งส่งผลต่อราคาพลังงานในประเทศ โดยกระทรวงพลังงานยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้ง
ได้ประสานหน่วยงานภายในเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือปัญหาด้านพลังงานที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน
ได้ดำเนินหลายมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนทั้งในส่วนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตราคาพลังงานดังกล่าวได้ ส่งผลให้ภาครัฐต้องรับภาระทางด้านงบประมาณ ทั้งในส่วนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และภาระทางด้านการเงินของ กฟผ. อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่สถานการณ์ราคาพลังงานได้ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น กระทรวงพลังงานมีความพยายามในการทยอยปรับราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและเป็นธรรม ไม่ให้เป็นการสร้างปัญหาด้านงบประมาณในอนาคต รวมถึงเสริมสร้าง
ให้เกิดการแข่งขันในตลาดพลังงาน นอกจากนั้น กระทรวงพลังงานยังได้คำนึงการพัฒนาพลังงานเพื่อสอดรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในเชิงรุก เช่น เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการออกกฎหมาย BEC (Building Energy Code)
และประกาศใช้อย่างเต็มรูปแบบสำหรับอาคารใหม่หรืออาคารดัดแปลงที่มีขนาด 2,000 ตร.ม. ขึ้นไป ต้องออกแบบให้มีการใช้พลังงานในแต่ละส่วนที่กำหนดให้เป็นไปตามเกณฑ์การใช้พลังงานตามมาตรฐานขั้นต่ำ
ทั้งนี้ นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากการมีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับค่าการตลาดและค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงนั้น สนพ. ขอเรียนชี้แจงว่า เนื่องจากการคำนวณค่าการตลาดและค่าการกลั่นนั้น มีหลักเกณฑ์
การคำนวณราคาเพื่อใช้อ้างอิง แต่ไม่สามารถบังคับหรือตั้งราคาให้กับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ เนื่องจากไทยใช้ระบบการค้าน้ำมันอย่างเสรี แต่ สนพ. ก็ได้ติดตามสถานการณ์ด้านราคาอย่างใกล้ชิด และใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการขอความร่วมมือ
จากผู้ค้าน้ำมันในการปรับค่าการตลาดในช่วงที่ราคาน้ำมันมีความผันผวน อีกทั้งยังใช้มาตรการลดการเก็บภาษีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด รวมทั้งได้บริหารจัดการปริมาณสำรองน้ำมันเพื่อสร้างความมั่นคง จะเห็นได้จากที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่เคยมีการขาดแคลนน้ำมัน ซึ่งต่างกับประเทศเพื่อนบ้านต้องเผชิญกับการขาดแคลนน้ำมัน จนประชาชนได้รับ
ความเดือดร้อน ส่วนด้านไฟฟ้าที่มีการกล่าวถึงปริมาณสำรองไฟฟ้าที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้าใจ
ในวิธีการคำนวณที่คาดเคลื่อน เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล พลังงานลม ที่มีความผันผวน ไม่แน่นอน ตามช่วงเวลาและฤดูกาล ไม่สามารถนำมาคำนวณได้ 100%ของกำลังการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ สถานการณ์โควิดที่ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงค่อนข้างมาก ซึ่งคาดว่าปริมาณความต้องการใช้และปริมาณการผลิตจะกลับมาสู่ภาวะปกติในเร็วๆ นี้ ส่งผลให้ในช่วงหลังปี พ.ศ.2568 เป็นต้นไป ปริมาณสำรองไฟฟ้าจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ด้านนายกัลย์ แสงเรือง รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) ได้เปิดเผยว่า สกพ.
ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้านั้น ชี้แจงว่าได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ในการบริหารจัดการเพื่อให้ต้นทุนค่าไฟฟ้า
ส่งผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาทั้งเรื่องการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานที่ทำให้ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติลดลงในช่วงแรก ประกอบกับราคา Spot LNG ที่นำเข้าอยู่ในระดับสูง สกพ. จึงได้บูรณาการ
ความร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน กฟผ. และ ปตท. เพื่อบริหารจัดการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า Spot LNG เพื่อให้ค่า Ft หรือค่าไฟฟ้าผันแปรมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด และมั่นใจว่าค่า Ft ในรอบเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม ทั้งของครัวเรือนและธุรกิจอุตสาหกรรมจะกลับมาใกล้เคียงกับค่า Ft รอบกันยายนถึงธันวาคม 2565 นอกจากนั้น ยังมีการส่งเสริม
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ พลังงานลม และการผลิตไฟฟ้าจากขยะ โดยที่ผ่านมา กกพ.
ได้ออกระเบียบประกาศหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานดังกล่าวตามนโยบายของภาครัฐ รวมทั้งกำหนดมาตรการปลดล็อคปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นไป
ในทิศทางเดียวกับกระแสโลกที่ต้องการพลังงานที่สะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนั้น ยังสร้างความมั่นคง
ด้านการผลิตไฟฟ้า โดยไทยมีสถิติคุณภาพการบริการไฟฟ้าอยู่ในลำดับต้น ๆ ของอาเซียน สามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนให้เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศ
“สถานการณ์พลังงานโลกยังคงมีความผันผวนในแบบ Energy Trilemma อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวทั่วโลก กระทรวงพลังงานยังคงติดตาม และพร้อมดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชน อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า นโยบายต่างๆ ที่กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการนั้น เป็นการคำนึงถึงการพัฒนาในทุกมิติ
ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานสะอาด ที่ปัจจุบันมีต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าที่ใกล้เคียงกับเชื้อเพลิงฟอสซิล และมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการส่งเสริมพลังงานสะอาด
ยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากที่กล่าวมา ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากวอนขอในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ คือ
ขอให้พรรคการเมืองอย่านำนโยบายการลดราคาพลังงานที่เกินจริงมาเป็นเครื่องมือในการหาเสียง เพราะนอกจากจะทำให้ประชาชนเกิดความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้แล้ว นโยบายดังกล่าวยังจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างด้านพลังงานและวินัยการเงินการคลัง ตลอดจนความยั่งยืน ความเป็นอยู่ของประชาชน และความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต ขอยืนยันว่า ทุกนโยบายที่กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการนั้น ได้ผ่านการพิจารณามาอย่างรอบคอบและคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ” ศ.ดร.พิสุทธิ์ กล่าว