ภาคเกษตรกรรม ซึ่งต้องพึ่งพาสภาพอากาศและธรรมชาติในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์อย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความท้าทาย             การมองหาพืชทางเลือกที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ใช้น้ำน้อย เติบโตเร็ว และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ  จึงเป็นทางออกที่สำคัญ หนึ่งในพืชที่กำลังได้รับความสนใจในฐานะ “อาหารแห่งอนาคต” (Future Food) คือ “ผำ” หรือไข่น้ำ เป็นพืชน้ำจืดที่เพาะเลี้ยงง่าย ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิด  เช่น ไข่ผำแห้ง อาหารเสริม หรืออาหารสุขภาพ สามารถเลี้ยงในบ่อธรรมชาติหรือบ่อควบคุมได้ ช่วยรักษาสภาพน้ำและระบบนิเวศ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตร ภายใต้นโยบายเกษตรมูลค่าสูงและแนวทาง ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เพื่อให้เกิดการทำน้อยได้มาก การส่งเสริมการเลี้ยง ผำ เป็นการ    บูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมประมง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่งเน้นการผลิตตามความต้องการตลาด ปรับปรุงเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเพาะเลี้ยง พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน

นายชายศักดิ์ วุฒิศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 5 นครราชสีมา (สศท.5) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า “ผำ” เป็นหนึ่งในพืชที่กระทรวงเกษตรฯ ส่งเสริมตามนโยบายกษตรมูลค่าสูง

นายวิทย   ม้วนสูงเนิน เกษตรกรผู้มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรในชุมชน บ้านปรางค์ หมู่ 11 ตำบลหินดาด อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ริเริ่มเพาะเลี้ยงผำ เล่าว่าจุดเด่นของผำคือดูแลง่าย ลงทุนต่ำ ไม่ใช้สารเคมี ใช้ระยะเวลาเลี้ยงเพียง 7 –15 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ ให้โปรตีนเฉลี่ย 35 –40% ของน้ำหนักแห้ง เหมาะต่อการพัฒนาเป็นผงโปรตีน อาหาร ขนม เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือใช้ผสมในอาหารสัตว์เพื่อลดต้นทุน นายวิทยายังเล่าต่ออีกว่า ตนเองได้เริ่มเลี้ยงผำในบ่อดินครั้งแรกเพียง 1 บ่อ โดยเก็บผลผลิตขายที่ตลาดของหมู่บ้านอาทิตย์ละ 5 วัน วันละประมาณ 20 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 50 บาท สร้างรายได้สัปดาห์ละประมาณ 5,000 บาท จากนั้นขายผลผลิตผ่านทางออนไลน์ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี สามารถสร้างยอดขายได้เดือนละประมาณ 1,100 กิโลกรัม ขายส่งราคากิโลกรัมละ 40 บาท สร้างรายได้มูลค่ากว่า 40,000 บาท/เดือน

ซึ่งในอนาคต ผำอาจกลายเป็นอีกหนึ่งคำตอบของโปรตีนทางเลือกที่ยั่งยืน ช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรไทย และตอบโจทย์ความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง