นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ จำนวน 1,403,441 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวน 1,348,155 ไร่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4) คิดเป็นมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ 9,169.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 7,127.63 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 27) ทั้งนี้ ประเทศไทย ได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์เป็น 2.0 ล้านไร่ ในปี 2570 ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2566 – 2570
ขณะที่สถานการณ์ส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทย ในปี 2565 มีปริมาณการส่งออก 35,888.70 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ส่งออก 30,007.90 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.60) คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 2,248.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2564 ที่มีมูลค่า 1,345.57 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.12) โดยสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยที่ส่งออกสำคัญ ได้แก่
ข้าว มะพร้าวอ่อน กะทิสำเร็จรูป ทุเรียน มังคุด มีตลาดส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์
สำหรับการส่งออกของ ปี 2566 ในไตรมาสแรก (มกราคม – มีนาคม 2566) พบว่า มีปริมาณการส่งออก 6,303.76 ตัน และมีมูลค่าการส่งออก 302.90 ล้านบาท โดยสินค้าเกษตรอินทรีย์หลักที่สำคัญอย่างข้าวอินทรีย์มีปริมาณ
การส่งออก 4,996.77 ตัน มูลค่าการส่งออก 185.10 ล้านบาท กะทิสำเร็จรูป 514.75 ตัน มูลค่าการส่งออก 30.76 ล้านบาท ทุเรียน 38 ตัน มูลค่าการส่งออก 13.24 ล้านบาท มะพร้าวอ่อน 740.70 ตัน มูลค่าการส่งออก 18.27 ล้านบาท และมังคุด 12 ตัน มูลค่าการส่งออก 2.06 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า ทิศทางของสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีแนวโน้มที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากกระแสความนิยมการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคแล้ว ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมไปถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การทำการเกษตรแบบยั่งยืน เกษตรอินทรีย์ เพื่อรักษาระบบนิเวศของสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ
จึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญ และนับเป็นโอกาสและช่องทางการขยายตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศ ซึ่งล่าสุด สศก. โดยกองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์เกษตรอินทรีย์และแนวโน้มตลาดอินทรีย์ในประเทศ ณ ตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะ ถนนปทุมธานี-เสนา ตำบลท้ายเกาะ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 เพื่อศึกษากลไกการเชื่อมโยงตลาดเกษตรอินทรีย์ ระหว่างเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร เครือข่ายเกษตรกร ผู้ประกอบการตลาด รวมทั้งพูดคุยกับประธานสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดปทุมธานี (คุณสุเทพ กุลศรี)
โดยตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะ ถือเป็นแหล่งจำหน่ายปัจจัยการผลิตเกษตรอินทรีย์ครบวงจร ผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ทั้งผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ ประมง และผลิตภัณฑ์แปรรูป นอกจากนี้ มีร้านอาหารอินทรีย์ โรงล้างคัดตัดแต่งและบรรจุ โรงงานแปรรูป
น้ำผัก ผลไม้ ศูนย์บริการห้องเย็น ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาทางการเกษตร และแปลงสาธิตการทำเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ ท้ายเกาะ ที่ถือเป็นตลาดกลางเกษตรอินทรีย์แห่งแรกในประเทศไทย อันเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และเกษตรกร ส่วนภาครัฐเป็นหน่วยงานสนับสนุน เพื่อเป็นศูนย์รวมสินค้าเกษตรอินทรีย์จากทุกภูมิภาค สู่การเป็นตลาดกลางเกษตรอินทรีย์แห่งแรกในประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงตลาดทั้งการค้าปลีกและค้าส่งให้เกษตรกรทั่วประเทศ โดยตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ ท้ายเกาะ ได้เริ่มเปิดตลาดมาตั้งแต่ 28 เมษายน 2566 และจะมีการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจสามารถอุดหนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ของตลาดได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 – 21.30 น. ซึ่งนอกจากจะได้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้คุณภาพมาตรฐานแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมผลผลิตอินทรีย์ของเกษตรกรไทยร่วมกันอีกด้วย