กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยบทวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวจากฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก ระหว่างปี 2549 – 2568 พบแนวโน้มปรับตัวสู่ยุคการใช้เทคโนโลยีเต็มรูปแบบ สะท้อนโอกาสอย่างมหาศาลในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวภายในประเทศ ชี้นวัตกรรมท่องเที่ยวของไทยเติบโตสูงถึง 145% ต่อปี เป็นสัญญาณชัดเจนถึงศักยภาพที่จะก้าวสู่การเป็นผู้เล่นแถวหน้าในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวของไทย

​ตลาดนวัตกรรมท่องเที่ยวกำลังอยู่ในระยะเติบโต และมีแนวโน้มที่จะโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งยังเปิดกว้างให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาร่วมในตลาดนี้ โดยมี จีน ครองอันดับ 1 ด้วยสิทธิบัตรกว่า 2,000 ฉบับ ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกา และยุโรปตะวันตก ซึ่งมีสิทธิบัตรจำนวนมากและครอบคลุมเทคโนโลยีที่หลากหลาย แต่การเติบโตเริ่มชะลอตัว สะท้อนภาวะตลาดที่ค่อนข้างอิ่มตัว ขณะที่ประเทศที่น่าจับตามองและมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ อินเดีย มีการเติบโตแรงที่สุดในโลก กว่า 292% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจากสตาร์ทอัพแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทาง และนโยบายความยั่งยืน รวมทั้งไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มาแรง แม้จะมีจำนวนสิทธิบัตรไม่มาก แต่มีการเติบโตสูงกว่า 145% ต่อปี โดยมีจุดแข็งอยู่ที่เทคโนโลยีการบริการและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

​ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด พบว่า แนวโน้มเทคโนโลยีกลุ่มย่อยมุ่งขับเคลื่อนไปใน 3 ทิศทางสำคัญ ได้แก่

​1) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Virtual Reality in Tourism)

ถูกใช้เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงของแหล่งท่องเที่ยว ผ่านภาพ เสียง และบรรยากาศที่จำลองขึ้นก่อนนักท่องเที่ยวจะออกเดินทางจริง โดยเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เทคโนโลยี VR เคยพัฒนาจนถึงจุดชะลอตัวแต่ในช่วง 5 ปีหลังกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งจากกระแส Metaverse Economy โดยผู้เล่นในสนามนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น LG Electronics (110 ฉบับ) บริษัทเกม LNw Gaming (138 ฉบับ) ไปจนถึงนักประดิษฐ์อิสระ รวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 400 ฉบับต่อปี สะท้อนว่า VR ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่มีเจ้าตลาดที่ผูกขาดเบ็ดเสร็จ และยังมีโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่มีศักยภาพ

​2) เทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism Technology) เป็นเทคโนโลยี

ที่ถูกนำมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น ระบบโรงแรมอัจฉริยะ (Smart Hotels) ที่ใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การเดินทางด้วยยานพาหนะประหยัดพลังงานหรือไฟฟ้า (Green Transport) แพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ การใช้ข้อมูลจัดการและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับอุตสาหกรรม (Data Systems) เป็นต้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับ

การยอมรับและถูกนำไปใช้ในวงกว้าง จากกระแสรักษ์โลกในช่วงหลายปีหลังทำให้มีผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวจำนวนมาก เป็นสัญญาณว่าตลาดนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (445 ฉบับ) ในบทบาทของผู้พัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกที่เน้นงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ Digimarc Corp (361 ฉบับ) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการจดจำข้อมูล และ American Vehicular Sciences LLC (250 ฉบับ) ผู้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ เชื่อมโยงกับ Smart Transport & Carbon Tracking ในภาคการท่องเที่ยว โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 600 ฉบับต่อปี

​3) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Artificial Intelligence in Tourism) AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยวได้จริง โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูล

ส่วนบุคคล เพื่อแนะนำแผนการเดินทาง ที่พัก กิจกรรมที่ตรงใจ และระบบนำเที่ยว พร้อมทั้งสนับสนุนการบริการผ่าน chatbot หรือผู้ช่วยเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่ในระยะเติบโตอย่างเต็มตัว จำนวนคำขอสิทธิบัตรจากไม่ถึง 1,000 ฉบับในปี 2559 พุ่งไปเกือบ 3,000 ฉบับในปี 2565 และผู้ที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรไม่ใช่เพียงแต่บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีความหลากหลายจำนวนมาก ทั้งสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการขนาดกลางที่เข้ามาสู่ตลาดนี้ ส่งผลให้เทคโนโลยี AI ในการท่องเที่ยวกลายเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีพลวัตรสูงที่สุด และพร้อมจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระยะยาว สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำ ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (694 ฉบับ) และ Toyota Jidosha kk (504 ฉบับ) โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 2,700 ฉบับต่อปี

​จากบทวิเคราะห์เทรนด์สิทธิบัตรด้านการท่องเที่ยว ชี้ให้เห็นว่าอนาคตของ Smart Tourism

ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จะถูกขับเคลื่อนโดยประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย สำหรับโอกาสและทิศทางของไทย กรมฯ มองว่าโอกาสยังเปิดกว้างในตลาดนี้ โดยไทยควรเร่งสร้างสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Microsoft IBM Toyota ซึ่งมีสำนักงานในไทย ให้ร่วมทำ R&D และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ทั้งนี้ หากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสามารถเดินหน้าด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการใช้จุดแข็งของทรัพยากรท้องถิ่น วัฒนธรรม ชุมชน และ Soft Power เช่น อาหาร มวยไทย เป็นต้น มาผสานเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมยกระดับการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบ จะช่วยสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยที่ไม่ซ้ำใครและยากที่ประเทศอื่นจะลอกเลียนแบบได้ เปิดโอกาสให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน และผลักดันให้ไทยกลายเป็นผู้เล่นสำคัญของตลาดการท่องเที่ยวเชิงนวัตกรรมระดับโลกได้ในอนาคต

​สำหรับสถิติคำขอสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในไทย ในช่วง 5 ปีล่าสุด (2563 – 2568) มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 423 คำขอ (ต่างชาติ 386 คำขอ และไทย 37 คำขอ) และคำขออนุสิทธิบัตร 63 คำขอ (ต่างชาติ 3 คำขอ และไทย 60 คำขอ) ด้านสถิติการจดทะเบียน มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 14 ฉบับ (เป็นของต่างชาติทั้งหมด) และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 32 ฉบับ (ต่างชาติ 2 ฉบับ และไทย 30 ฉบับ) ผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท คูแปง คอร์ป (34 คำขอ) บริษัท ฮิตาชิ แอลทีดี (33 คำขอ) และบริษัทโตโยต้า จิโดชา คาบูชิกิ ไคชา (31 คำขอ) โดยนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ระบบจัดการการจองที่พักของโรงแรม ระบบชำระเงินแบบเบ็ดเสร็จ กระบวนการบริหารจัดการธุรกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของบล็อกเชน ระบบระบุตัวตนชื่อนามสกุลภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบอัตโนมัติด้วยเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ เป็นต้น